แด่มิตรที่รักทั้งไกลและใกล้
ข้าพเจ้าขอทักทายท่านทั้งหลายในวาระ “เพนชู” อันพิเศษซึ่งมาถึงในเดือนนี้ซึ่งตรงกับเดือน “วิสาขบูชา” เพนชูหมายถึงโอกาสที่วันคุรุริมโปเชเกิดมาตรงกับวันเสาร์ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยาก และประจวบกับเดือนที่มีวัน “วิสาขบูชา” ซึ่งเป็นเดือนที่ถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในปฏิทินทิเบต ตรงกับวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน
ท่านทั้งหลายเป็นอย่างไรบ้าง หวังว่าคงสบายดี ท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมข้าพเจ้าจึงไม่ได้ส่งสาส์นทักทายในวันคุรุริมโปเชเหมือนเช่นเคยในเดือนที่แล้ว ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่าไม่ได้เป็นเพราะข้าพเจ้าลืม แต่เป็นเพราะวันที่สิบของเดือนที่แล้วไม่มีในปฏิทินทางจันทรคติ ช่วงนี้ข้าพเจ้ากำลังบรรยายธรรมอยู่ที่ฮ่องกงกับท่านชกลิงริมโปเช ซึ่งในวันพิเศษนี้ ท่านได้ทำพิธีมนตราภิเษกซัมปาลุนดรุบ ต่อด้วยการถวายทาน 100,000 ครั้ง
เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่มีความพิเศษและถือเป็นศุภมงคล ข้าพเจ้าจึงอยากจะพูดถึงเรื่อง “ลาเม นัลจอร์” หรือคุรุโยคะ นิดหน่อย ซึ่งหมายถึงการปฏิบัติด้วยวิธีหลอมรวมจิตของเราเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับจิตอันเปี่ยมด้วยปัญญาของพระอาจารย์
คุรุโยคะนี้มีวิธีปฏิบัติอยู่ห้าวิธีด้วยกันคือ 1. คุรุโยคะภายนอก คือการขอพรด้วยการสวดอ้อนวอน 2. คุรุโยคะภายใน คือการสวดและขอรับมนตราภิเษก 3. คุรุโยคะขั้นลึก คือการภาวนาถึงพระอาจารย์และตัวเราว่าเป็นหนึ่งเดียวแยกกันไม่ออก 4. คุรุโยคะขั้นลึกยิ่งขึ้น คือทรงจิตอยู่ในสภาวะนิ่ง ไม่ปรุงแต่ง ไม่หวั่นไหว 5. คุรุโยคะขั้นลึกที่สุด คือการตั้งจิตอยู่ในสภาวะของจิตบริสุทธิ์เดิมแท้และอยู่ในปัจจุบันขณะจริงๆ
1. คุรุโยคะภายนอก หมายถึงการขอพรด้วยการสวดอ้อนวอน การปฏิบัติคุรุโยคะขั้นแรกคือการสวดขอพรต่อพระอาจารย์ ให้เราเริ่มด้วยการตั้งนิมิตถึงพระอาจารย์อยู่เบื้องหน้า เราประนมมือและกล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอถือเอาพระอาจารย์เป็นที่พึ่ง ที่พึ่งอื่นใดไม่มีอีกแล้ว ข้าพเจ้าขอพรจากท่านด้วยจิตใจที่แน่วแน่เต็มเปี่ยม” จิตจะเกิดศรัทธาและตั้งมั่นด้วยใจจริง เราขอพรด้วยวิธีนี้ และขอต่อพระอาจารย์ของเราว่า “โปรดเมตตาศิษย์และอำนวยพรให้ศิษย์ด้วยเถิด” ดังที่สอนกันในบทสวดเรียกหาพระอาจารย์ นี่ก็คือการสวดขอพรในคุรุโยคะภายนอก
2. คุรุโยคะภายใน การสวดและขอรับมนตราภิเษกสี่อย่าง คุรุโยคะภายในก็คือการสวดมนต์ถึงพระอาจารย์ (ถ้าพระอาจารย์ในที่นี้หมายถึงองค์คุรุริมโปเช) ให้เราสวดบทวัชระคุรุ (โอม อา ฮุง เบนจา กูรู เปมา สิทธิ ฮุง – ผู้แปล) และตั้งนิมิตเพื่อรับมนตราภิเษกสี่อย่าง ด้วยการตั้งนิมิตถึงองค์คุรุริมโปเชอยู่เบื้องหน้า ขั้นแรกให้นึกภาพอักขระ “โอม” ที่หน้าผากของพระอาจารย์ซึ่งมีแสงสีขาวเปล่งตรงเชื่อมเข้ามายังหน้าผากของเราเพื่อให้เราได้รับพรแห่งกายตรัสรู้ ต่อไปนึกภาพที่ลำคอของพระอาจารย์ มีแสงสีแดงเปล่งออกมา (จากอักขระ “อา” — ผู้แปล) เชื่อมเข้ามายังลำคอของเราเพื่อให้เราได้รับพรแห่งวาจาตรัสรู้ แล้วนึกภาพอักขระ “ฮุง” สีฟ้าจากตรงตำแหน่งหัวใจ แสงสีฟ้านี้แผ่มายังจุดกลางใจของเราให้เราได้รับพรจากจิตตรัสรู้ ส่วนมนตราภิเษกอย่างที่สี่มีวิธีปฏิบัติได้สองอย่างตามสายการปฏิบัติ ทางหนึ่งคือให้ตั้งนิมิตว่ามีแสงสีเหลืองเปล่งออกมาจากอักขระ “ชรี” ที่จุดตรงใต้สะดือของพระอาจารย์ ส่วนอีกทางหนึ่งคือตั้งนิมิตว่ามีแสงสีขาว แดง และน้ำเงิน เปล่งออกมาพร้อมๆ กันจากอักขระทั้งสามคือ โอม อา และ ฮุง จะเลือกใช้ทางไหนก็ได้ เมื่อเราได้รับแสงนี้แล้ว ให้นึกภาพว่าเกิดจิตแห่งปัญญาบริสุทธิ์เดิมแท้แผ่ซ่านไปทั่วกายของเรา ด้วยวิธีนี้ เราก็จะได้รับมนตราภิเษกทั้งสี่ คือทางกายตรัสรู้ วาจาตรัสรู้ จิตตรัสรู้และ ปัญญาเดิมแท้อันบริสุทธิ์
3. คุรุโยคะขั้นลึก คือการภาวนาว่าตัวเรากับพระอาจารย์เป็นหนึ่งเดียวไม่แบ่งแยกกัน ไม่ว่าพระอาจารย์จะเป็นใครก็ตาม ให้คิดว่าเราได้รับพรจากพระอาจารย์จากการมนตราภิเษกทั้งสี่อย่างดังที่ได้กล่าวถึงในข้อที่แล้ว และบัดนี้ ให้ตั้งนิมิตว่าพระอาจารย์หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเราโดยพรจากพระอาจารย์เข้าไปที่ช่องตรงกลางกระหม่อมศีรษะของเรา ด้วยวิธีนี้ กายของพระอาจารย์กับกายของเรา วาจาของท่านกับวาจาของเรา จิตของท่านกับจิตของเราจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ไม่แบ่งแยกกัน ให้เราคงอยู่ในสภาวะนี้
4. คุรุโยคะขั้นลึกยิ่งขึ้น คือทรงอยู่ในสภาวะนิ่ง ผ่อนคลายอยู่ในลักษณะเดิม ให้จิตคงสภาวะที่นิ่ง ไม่ปรุงแต่ง ไม่ซัดส่ายเปลี่ยนแปลง ผ่อนคลายเต็มที่ นี่ก็คือคุรุโยคะขั้นลึกยิ่งขึ้น
5. คุรุโยคะขั้นลึกที่สุด คือ การตั้งจิตอยู่ในสภาวะของจิตบริสุทธิ์เดิมแท้และอยู่ในปัจจุบันขณะจริงๆ แก่นแท้ของพระอาจารย์คืออะไร คือสภาพที่บริสุทธิ์ ดั้งเดิมแท้ ลักษณะอันเป็นเลิศของพระอาจารย์เป็นอย่างไร ก็คืออยู่ในปัจจุบันขณะจริงๆ ความรู้ ความรักและความสามารถของพระอาจารย์ล้วนดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะ เป็นอยู่แต่เดิมแล้ว มิมีจุดเริ่ม มีอยู่สองอย่างที่เราต้องทำความเข้าใจ นั่นคือ ความบริสุทธิ์เดิมแท้ และการดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะจริงๆ เราต้องทำความเข้าใจให้ได้ว่า “สภาพนี้ก็ไม่ได้แบ่งแยกหรืออยู่ต่างหากจากเรา เราก็มีจิตอันบริสุทธิ์เดิมแท้อยู่แล้ว จิตของเราก็สามารถดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะได้ นี่เองคือสภาวะจิตของพระอาจารย์ เราไม่เคยแบ่งแยกจากสภาวะนี้เลย” การเข้าใจสภาวะบริสุทธิ์เดิมแท้และการดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะก็คือการทรงจิตตั้งอยู่ในสภาวะนิ่ง ไม่ปรุงแต่ง นี่เองคือสภาวะของคุรุโยคะอันลึกที่สุด
ขอแค่เราตั้งนิมิตว่าพระอาจารย์หลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเรา กายตรัสรู้อันบริสุทธิ์ของท่านรวมเข้ากับกายของเราที่เราคิดว่าไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์ บางทีเราก็ไม่อยากจะคิดอย่างนั้นใช่ไหม เราคิดว่าคงไม่ได้ผลหรอก แต่เราต้องเข้าใจเสียก่อนว่าจิตของเราก็มีแก่นแท้ที่บริสุทธิ์ดั้งเดิม เป็นจิตที่มีคุณสมบัติอันยอดเยี่ยม สามารถบรรลุถึงการตรัสรู้ได้ ดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะได้อยู่แล้ว การดำรงจิตอยู่ในสภาวะที่ตื่นและรู้รอบ มีสติเต็มที่ ก็คือการปฏิบัติคุรุโยคะขั้นลึกที่สุดอันสมบูรณ์ไม่มีที่เปรียบ
ขอความสวัสดิมงคลจงบังเกิดแก่ทุกท่านเทอญ
พักชก ริมโปเช